สิบกว่าปีก่อน นักศึกษาแพทย์ที่จบในยุคนั้น จะมีความเชื่อที่น่ากังวลใจเรื่องหนึ่ง
"การใส่หน้ากาก ถุงมือ เครื่องป้องกันติดเชื้อ ในการทำงานทั่วไป เป็นเรื่องน่าอายน่าขำขัน"
ไม่แน่ใจว่า ความเชื่อนี้ถูกหล่อหลอมมาได้อย่างไร อาจเพราะเมื่อจบออกมาใหม่ โรงพยาบาลส่วนใหญ่ติดหนี้ตัวแดงกันทั้งประเทศ การใช้จ่ายติดขัดกระเบียดกระเสียร
...หน้ากากไม่จำเป็นไม่ต้องใช้
...ถุงมือใช้แล้วทิ้งกลับต้องเก็บไปอบใหม่
สภาพการทำงานโดยทั่วไป หล่อหลอมให้คนหนุ่มสาวรุ่นนั้น มองว่าการช่วยเหลือโรงพยาบาล สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง
ความเชื่อนี้ไม่เพียงวนเวียนในหมู่แพทย์เท่านั้น ยังกลายเป็นความคุ้นชินสำหรับพยาบาล หลายคนเข้าห้องความดันลบทำหัตถการ คิดเพียงรีบเข้ารีบกลับไม่ต้องใส่ N-95 ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหอผู้ป่วยทั่วไป เจาะเลือดแจกยา ไม่มีการใส่หน้ากากแม้แต่ชิ้นเดียว
ของเหล่านี้เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ประหยัดได้ก็ประหยัด เราไม่มีเงินต้องช่วยกัน อย่าให้ความกลัวมาขัดขวางการทำงาน
มองย้อนไปแล้ว ความเชื่อเหล่านี้มีปัญหา
แม้ด้านหนึ่ง เรามองเห็นความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร อยากผลักดันองค์กรให้เดินหน้า แต่อีกด้านก็ส่งสัญญาณว่า เรายังคงติดอยู่กับการทำงานแบบถวายชีวิต
....โดยมองไม่เห็นแม้สิทธิพื้นฐานของบุคลากร
การมาถึงของโควิด ทำให้ปัญหาดังกล่าวกลัดหนองปะทุออกมา
คืนหนึ่งในช่วงต้นของการระบาด ผู้ป่วยชายวัยกลางคน ไข้ ไอ หอบ การหายใจล้มเหลว จำต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ผลออกในไม่กี่วันถัดไป เขาเป็นโควิด-19 ชนิดรุนแรงลงปอด จำต้องกักตัวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อความปลอดภัย
ระยะเวลาในการกัก มากน้อยขึ้นกับระดับความน่าจะเป็นที่จะติดโรคมาได้ กิจกรรมที่ทำ, ระยะเวลาที่เกี่ยวข้อง, ไปจนถึงเครื่องป้องกันที่ใช้ ล้วนสำคัญต่อการประเมิน
ผลการสอบสวนน่าสะพรึงกลัวมาก
มีเพียงแพทย์ผู้ใส่ท่อช่วยหายใจ ที่ใส่ N-95 แต่ไม่ใส่เฟซชีลด์ไปจนเครื่องป้องกันอื่นใด ขณะเจ้าหน้าที่อื่นที่เหลือ ล้วนใส่เพียงหน้ากากผ้า หรือแม้แต่ไม่ใส่อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
พวกเขาเข้าใจว่า ตนไม่ใช่คนทำหัตถการ ไม่ใช่แพทย์ ย่อมไม่มีสิทธิ์ใส่เครื่องป้องกันราคาสูงหรูหรา
ย้อนถามแพทย์ หากไม่ใช่ได้รับข่าวโควิด-19อาจเข้ามา ก็คงไม่คิดหยิบ N-95 ขึ้นมาใส่อย่างแน่นอน
ผลการสอบสวนเทกระจาดเจ้าหน้าที่ขึ้นเวรทุกคน
คืนนั้น หลังรายชื่อผู้เข้ากักตัวออกมา โรงพยาบาลก็พบว่า พวกเขาไม่อาจหาใครมาทนแทนเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ได้เลย
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์จริง ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นของการระบาด และน่าจะเป็นเคสแรกๆของประเทศไทยค่ะ
การกักตัวในครั้งนั้นนำไปสู่วิกฤติอัตรากำลังทันทีทันใด ทั้งด้วยจำนวนคนที่มาก และบางตำแหน่งมีเกณฑ์เฉพาะ ไม่อาจหาคนแทนได้ แต่จะไม่กักก็ไม่ได้ นำไปสู่ปัญหาบริหารจัดการขนานใหญ่ ที่กว่าจะผ่านไปได้ เลือดตา(ทั้งผู้บริหารและหน้างาน)แทบกระเด็น เรียกว่าโรงพยาบาลแทบดำเนินงานต่อไม่ได้ด้วยซ้ำ
ขณะนั้นมีคำถามเชิงตำหนิส่งมาว่า "เหตุใดไม่ป้องกันตนเอง จนทำให้องค์กรเกิดปัญหา" แน่นอนเมื่อคำถามนี้ส่งออกมา ย่อมเกิดคำถามสะท้อนกลับอย่างรุนแรง
ไหนบอก N-95 สิ้นเปลืองห้ามใช้?
ไหนบอกโรงพยาบาลไม่ไหว พวกเราต้องช่วยกัน?
ไหนเคยว่าแค่นี้ทำไมต้องใส่เครื่องป้องกัน?
สุดท้ายนำไปสู่คำถามสำคัญ "ที่ผ่านมาเราอยู่กันอย่างไร"
การระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา แม้จะกักตัวหรือป้องกันตัวดีเพียงใด ในท้ายที่สุดแล้ว ก็พบเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายติดโควิด-19อยู่ดี
ในจำนวนนั้นมีเจ้าหน้าที่ที่มิใช่สายวิชาชีพ แต่ทำงานบางอย่างซึ่งหลายฝ่ายมองข้ามรวมอยู่ด้วย
ดังเช่น...ประชาสัมพันธ์ พนักงานทำความสะอาด พนักงานเก็บขยะ ฯลฯ
หลังส่งผู้ป่วยขึ้นหอผู้ป่วย หลังแพทย์พยาบาลถอดเครื่องป้องกัน ยังมีกลุ่มพนักงาน ที่หลายคนเป็นเพียงลูกจ้างรายวันไร้สวัสดิการ เข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาด ทิ้งขยะติดเชื้อ หรือถึงขั้นต้องล้างฟิลเตอร์ห้องความดันลบด้วยซ้ำ
เดิมทีคนเหล่านั้น ไม่เพียงไม่ได้ใช้เครื่องป้องกัน บางส่วนถึงขั้นไม่มีเครื่องป้องกันให้ขอใช้
"เขามีให้แมสก์มา แต่ไม่พอจ้ะ เพราะมีเก็บขยะหลายจุด และทำทุกวัน"
"มีแจกถุงมือมาแค่คู่เดียว ไม่พอครับ ผมเอาเงินค่าจ้างไปซื้อมาเพิ่มไว้"
ดูเหมือนว่า ค่านิยมเก่าที่ไม่ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของพนักงาน จะชอนไชไปทุกระดับ ฝังรากลึกมากกว่าที่คิดไว้
การมาถึงของโควิด-19 นำไปสู่การสอบสวนโรค มาตรการกักกัน ทั้งยังนำไปสู่ปัญหาสำคัญที่เคยถูกซุกใต้พรมตลอดมา
อันที่จริงแล้ว นี่ถือเป็นเหตุการณ์ที่กระตุ้นเตือนว่า "บุคลากรทุกระดับ" มีความสำคัญมากเพียงใด ไม่ว่าเงินจะติดบวกหรือติดลบ องค์กรเช่นโรงพยาบาลก็ไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้ หากไม่มีบุคลากรซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบการทำงานโรงพยาบาล
เหตุการณ์ที่เล่าไปข้างต้น นำไปสู่การจัดทำ "แนวปฏิบัติเครื่องป้องกัน" ขึ้นในหลายโรงพยาบาล โดยเป็นแนวทางสำหรับเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ทุกรูปแบบการทำงาน ถือเป็นการยกระดับสวัสดิภาพอย่างที่ไม่เคยมีมา
หลังการระบาดของโควิด-19 การใส่เครื่องป้องกันอย่างถูกต้อง เปลี่ยนจากเรื่องฟุ่มเฟือย กลายเป็นความรับผิดชอบ ทั้งต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อองค์กร ท่ีเจ้าหน้าที่ทุกคนจะละเมิดไม่ได้ น่ายินดีที่ผู้บริหารไม่น้อย เปลี่ยนความคิดที่มีต่อค่าใช้จ่ายเรื่องเครื่องป้องกันไปโดยสิ้นเชิง